..
กำเนิดเกมอิเล็กทรอนิกส์
ถึงแม้ว่า
เกมนั้นจะมีประวัติที่ยาวนานและปรากฏทุกพื้นที่บนโลกใบนี้
ซึ่งสาระสำคัญของระบบเกมนั้นคือช่วยการกระตือรืร้นในการทำงาน
คิดวิเคราะห์และผ่อนคลายจากการทำงาน
เช่นการล่าสัดประยุกต์มาเป็นเกมล่าสัตว์ และก็ได้วิวัฒนาการเป็นเกมกีฬา
เกมกระดาน
ไปจนถึงเกมที่ปฏิวัติเทคโนโลยีทำให้เกิดการวิวัฒนาการสื่อบันเทิงในยุคอนาคต
นั่นคือเกมอิเล็กทรอนิกส์ หรือที่รู้จักกันในนามของวีดีโอเกม
….. เกมอิเล็กทรอนิกส์ Video game
เป็นซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์เพื่อความบันเทิงชนิดหนึ่ง โดยใช้ระบบไฟฟ้า
อิเล็กทรอนิกส์เข้ามาเป็นอุปกรณ์หลักในการเล่น
ซึ่งระบบจะทำการประมวลครูปแบบการเล่นและคะแนนที่ได้รับอย่างรวดเร็ว
และจุดเด่นของเกมประเภทนี้ก็คือมีความสามารถเปลี่ยนเกมจากเกมหนึ่งไปอีกเกม
หนึ่งได้โดยไม้ต้องเซ็ตระบบให้วุ่นวาย
และผู้พัฒนาสามารถพัฒนาเกมได้หลากหลายรูปแบบ
…..
สำหรับการกำเนิดเกมอิเล็กทรอนิกส์นั้น เริ่มต้นมาจาก ทศวรรษที่ 50
ช่วงสงครามเย็นได้เปิดฉาก
การพัฒนาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์เพื่อจำลองการรบและการใช้ขีปนาวุธ
แต่กำเนิดเกมอิเล็กทรอนิกส์จริงๆนั้น
เกิดขึ้จจากนักฟิสิกซ์คอมพ์พิวเตอร์ที่พัฒนาเทคโนโลยีจำลองการรบ ปี 1958
วิลเลียม วิลลี ฮิกกินโบแธม
ซึ่งเคยทำงานกับระเบิดปรมาณู ลูกแรก
ได้เปลี่ยนแปลงเส้นพื้นฐานสองเส้นกับลูกบอลเด้งได้ ให้กลาย
เป็นประสบการณ์ความบันเทิงเชิงปฏิสัมพันธ์บนคอมพิวเตอร์ นั่นคือเกม
“เทนนิสฟอร์ทู”
เกมอิเล็กทรอนิกส์เกมแรกของโลก
.…. เมื่อสงครามพัฒนาไปเกมก็พัฒนาตามไปด้วย จากการสู้รบที่อยู่ในสนามรบ ก้าวไปสู่การสู้รบในสงครามอวกาศแบบเสมือนจริงอย่าง
“สเปซวอร์”
แต่เมื่อก้าวเข้าสู่ทศวรรษ ที่ 60 เมื่อสงคราม ในเกาหลี เบอร์ลิน
และเวียดนามถูกรายงานผ่านช่องทางอย่าง โทรทัศน์ ราล์ฟ แบร์
ก็เปลี่ยนมันให้กลายเป็นเครื่องเล่นเกมในบ้านระบบแรกที่เรียกว่า
เครื่องแม็กนาว็อกซ์ โอดิสซี (Magnavox Odyssey)
Pong เกมอาเขตตัวแรกที่ให้กำเนิดเกมถล่มบล็อกอันโด่งดัง
….. ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันนั้นเองปีค.ศ. 1972
Allan Alcorn ผู้พัฒนาเทคโนโลยีของ Atari ได้พัฒนาเกมตู้ (อาเขต) เกมแรกของที่ได้จำลองการเล่นปิงปอง ซึ่งมีชื่อว่า
“Pong” เป็นเกมที่สามารถเล่นได้ 2 คน โดยในช่วงแรกนั้น
Nolan Bushnell ผู้
มอบหมายต้องการพัฒนาเพื่อเป็นอุปกรณ์การศึกษาของนักศึกษาวิชาวิศวะคอมพ์พิว
เตอร์ ซึ่งในช่วงแรกๆ นั้นมีราคาที่สูงมาก
แต่ได้เห็นช่องทางในการพัฒนาสำหรับเชิงพาณิชย์จึงได้พัฒนาเกมตู้ให้สามารถ
ใช้งานได้ในศูนย์การค้าและได้พัฒนาเป็นเครื่องคอนโซลเครื่องแรกที่มี
คุณสมบัติทั้งเป็นวีดีโอเกมที่สามารถเล่นได้ 2 คน เปลี่ยนเกมได้
และราคาไม่สูงมาก ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมากทีเดียว
จึงเรียกได้ว่าเกมอาเขตหรือเกมตู้ได้พัฒนามาเป็นเกมคอนโซล
Atari กับเครื่องคอนโซลรุ่นแรก
….. ในขณะเดียวกัน ปี
ค.ศ. 1980
ที่ประเทศญี่ปุ่นที่ได้รับอิทธิพลการเล่นเกมคอนโซลจาก Atari
นั้นก็มีผู้สนใจที่จะพัฒนาวีดีโอเกมในประเทศญี่ปุ่น 1 ในนั้นคือ Nitendo
ที่ได้พัฒนาเกมคอนโซลรูปแบบพกพาที่เรียกกันว่า
Game & Watch หรือเกมกดที่มีราคาถูก เล่นได้ทุกที่ ซึ่งพัศนามาหลายรูปแบบและเป็นการพัฒนาสู่เกมกดพกพาเช่น Gameboy หรือ Nitendo DS เป็นต้น
…… และ
1983 Nitendo ต้องการจะพัฒนาเครื่องเล่นเกมคอนโซลทีมีราคาถูกที่มีราคาที่ถูกและทันสมัยกว่าของ Atari ซึ่งออกมาเป็น
Family Compututer หรือเรียกย่อๆ ว่า Famicom
ด้วยระบบปุ่มกดแทนคันโยกซึ่งมีความสามารถในการต่อเข้ากับโทรทัศน์เพื่อแสดง
ผลแบบ 8 Bit และยังเปลี่ยนตลับเกมไปมาได้ตามต้องการ
ซึ่งทำให้เกิดกระแสการพัฒนาเครื่องเล่นเกมคอนโซลหลายค่าย พัฒนากลไกต่างๆ
เช่นระบบเซ็นเซอร์ตรวจจับตั้งแต่เลเซอร์ คลื่นและกล้องตรวจจับการเคลื่อนไหว
และพัฒนาเทคโนโลยีตั้งแต่ 8 Bit จนถึงระดับ 3D Engine ไปอีกนานแสนนาน
2 เกมรุ่นบุกเบิกของญี่ปุ่นและ Nitendo
…… กลับมาที่ระบบ PC บ้าง
หลังจากที่ IBM ประสบความสำเร็จในการพัฒนาเครื่องคอมพ์พิวเตอร์ส่วนบุคคล
(PC) ซึ่งไว้ใช้สำหรับการทำงานประมวลผลต่างๆ
เช่นการบะัญชีหรือการคำนวณต่างๆ แต่ได้ใส่เกม PC สำหรับเล่นแก้เครียดด้วย
แต่ที่เด่นชัดที่สุดก็คื
อ Free Game PC ของ Microsoft ที่ได้พัฒนาระบบที่ใช้งานง่ายกว่าแบบ DOS และได้พัฒนาเกมที่มีความสมจริงในรูปแบบการเล่น
Solitaire หรือ
Minesweeperที่
สามารถจับไพ่หรือขุดหาระเบิดได้ด้วยระบบเมาส์โดยไม่ต้องใส่โค๊ต และด้วย PC
ในสมัยนั้นต้องใส่โปรแกรมและติดตั้ง เกม PC
จึงได้กำเนิดขึ้นอย่างเป็นทางการ และมีระบบเล่นที่ำไม่ซับซ้อน
สมจริงในด้านการควบคุม
เกม PC Counter Strike ที่มีจุดเด่นในด้านการใช้ระบบ LAN เล่นได้ทุกคนที่อยู่ในระยะเชื่อมต่อ
….. นอกจากนี้เกม PC นั้นสามารถเพิ่มรูปแบบการเล่นแบบเครือข่ายที่เรียกว่า
Local area network (LAN) ที่สามารถเชื่อมเครือข่ายสั้นๆ และสามารถเล่นพร้อมกันได้ เช่น
counter strike หรือเกมแนว
Real-Time Strategy (RTS) เช่น
Command & Conquer จน
กระทั่งได้กำเนิดระบบอินเทอร์เน็ตตามบ้านเรือนอย่างเป็นทางการและเสถียรที่
สุด เกม PC จึงได้ปรับรูปแบบให้สามารถเล่นผ่านอินเทอร์เน็ตแบบ Real Time
จนกระทั่งที่ประเทศเกาหลี
ได้มีการพัฒนาโดยการตัดระบบบางส่วนและเน้นรูปแบบอนนไลน์ให้มากขึ้น
จนกำเนิดเป็นเกมออนไลน์เกมแรกของโลกอย่าง
King Of King Online
ซึ่งมีจุดเด่นตรงที่เน้นการเล่นแบบออนไลน์ ระบบ RPG ที่สมจริงอย่างมาก
โดยเฉพาะระบบสังคม เช่นระบบปาร์ตี้ผจญภัย เป็นต้น
เนื่องด้วยการเล่นที่ต้องใช้ “สังคม”
และสามารถเล่นได้ทั่วโลกโดยไม่ต้องซื้อแผ่นโปรแกรมเป็นตัวเชื่อมต่อ
จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่สามารถเล่นได้ฟรีก่อน
ระวัติกีฬาตะกร้อต่างประเทศ กีฬาเซปักตะกร้อ
การแข่งขันตะกร้อตะกร้อ
เป็นการละเล่นของไทยมาแต่โบราณ แต่ไม่มีหลักฐานแน่นอนว่ามีมาตั้งแต่สมัยใด
แต่คาดว่าราว ๆ ต้นกรุงรัตนโกสินทร์
ประเทศอื่นที่ใกล้เคียงก็มีการเล่นตะกร้อ คนเล่นไม่จำกัดจำนวน
เล่นเป็นหมู่หรือเดี่ยวก็ได้ ตามลานที่กว้างพอสมควร
ตะกร้อที่ใช้เดิมใช่หวายถักเป็นลูกตะกร้อ ปัจจุบัน นิยมใช้ลูกตะกร้อพลาสติก
การเตะตะกร้อเป็นการเล่นที่ผู้เล่นได้ออก กำลังกายทุกสัดส่วน
ฝึกความว่องไว ความสังเกต มีไหวพริบ ทำให้มีบุคลิกภาพดี มีความสง่างาม
และการเล่นตะกร้อนับได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ของไทยอย่างหนึ่ง
ในการค้นคว้าหาหลักฐานเกี่ยวกับแหล่ง
กำเนิดการกีฬาตะกร้อในอดีตนั้น
ยังไม่สามารถหาข้อสรุปได้อย่างชัดเจนว่ากีฬาตะกร้อนั้นกำเนิดจากที่ใด
จากการสันนิษฐานคงจะได้หลายเหตุผลดังนี้
ประเทศพม่า เมื่อประมาณ พ.ศ. 2310 พม่ามาตั้งค่ายอยู่ที่โพธิ์สามต้น ก็เลยเล่นกีฬาตะกร้อกัน ซึ่งทางพม่าเรียกว่า “ชิงลง”
ทางมาเลเซียก็ประกาศว่า ตะกร้อเป็นกีฬาของประเทศมาลายูเดิมเรียกว่า ซีปักรากา (Sepak Raga) คำว่า Raga หมายถึง ตะกร้า
ทางฟิลิปปินส์ ก็นิยมเล่นกันมานานแล้วแต่เรียกว่า Sipak
ทางประเทศจีนก็มีกีฬาที่คล้าย
กีฬาตะกร้อแต่เป็นการเตะตะกร้อชนิดที่เป็นลูกหนังปักขนไก่
ซึ่งจะศึกษาจากภาพเขียนและพงศาวดารจีน
ชาวจีนกวางตุ้งที่เดินทางไปตั้งรกรากในอเมริกาได้นำการเล่นตะกร้อขนไก่นี้ไป
เผยแพร่ แต่เรียกว่าเตกโก (Tek K’au) ซึ่งหมายถึงการเตะลูกขนไก่
ประเทศเกาหลี ก็มีลักษณะคล้ายกับของจีน แต่ลักษณะของลูกตะกร้อแตกต่างไป คือใช้ดินเหนียวห่อด้วยผ้าสำลีเอาหางไก่ฟ้าปัก
ประกาศไทยก็นิยมเล่นกีฬาตะกร้อมายาวนาน
และประยุกต์จนเข้ากับประเพณีของชนชาติไทยอย่างกลมกลืนและสวยงามทั้งด้าน
ทักษะและความคิด
ประวัติกีฬาตะกร้อในประเทศไทย
ในสมัยโบราณนั้นประเทศไทยเรามีกฎหมายและวิธีการลงโทษผู้กระทำความผิด
โดยการนำเอานักโทษใส่ลงไปในสิ่งกลมๆที่สานด้วยหวายให้ช้างเตะ
แต่สิ่งที่ช่วยสนับสนุนประวัติของตะกร้อได้ดี คือ
ในพระราชนิพนธ์เรื่องอิเหนาของรัชกาลที่ 2
ในเรื่องมีบางตอนที่กล่าวถึงการเล่นตะกร้อ
และที่ระเบียงพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ซึ่งเขียนเรื่องรามเกียรติ์
ก็มีภาพการเล่นตะกร้อแสดงไว้ให้อนุชนรุ่นหลังได้รับรู้
โดยภูมิศาสตร์ของไทยเองก็ส่งเสริมสนับสนุนให้เราได้ทราบประวัติของตะกร้อ
คือประเทศของเราอุดมไปด้วยไม้ไผ่
หวายคนไทยนิยมนำเอาหวายมาสานเป็นสิ่งของเครื่องใช้
รวมถึงการละเล่นพื้นบ้านด้วย
อีกทั้งประเภทของกีฬาตะกร้อในประเทศไทยก็มีหลายประเภท เช่น ตะกร้อวง
ตะกร้อลอดห่วง ตะกร้อชิงธงและการแสดงตะกร้อพลิกแพลงต่างๆ
ซึ่งการเล่นตะกร้อของประเทศอื่นๆนั้นมีการเล่นไม่หลายแบบหลายวิธีเช่นของไทย
เรา
การเล่นตะกร้อมีวิวัฒนาการอย่างต่อเนื่องมาตามลำดับทั้งด้านรูปแบบและวัตถุ
ดิบในการทำจากสมัยแรกเป็นผ้า , หนังสัตว์ , หวาย , จนถึงประเภทสังเคราะห์ (
พลาสติก )
ความหมาย คำว่าตะกร้อ ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถาน พ . ศ . 2525 ได้ให้คำจำกัดความเอาไว้ว่า ” ลูกกลมสานด้วยหวายเป็นตา สำหรับเตะ “
- See more at:
http://www.parwat.com/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B5%E0%B8%AC%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%95%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%AD.html#sthash.fBRk2fyH.dpuf
ระวัติกีฬาตะกร้อต่างประเทศ กีฬาเซปักตะกร้อ
การแข่งขันตะกร้อตะกร้อ
เป็นการละเล่นของไทยมาแต่โบราณ แต่ไม่มีหลักฐานแน่นอนว่ามีมาตั้งแต่สมัยใด
แต่คาดว่าราว ๆ ต้นกรุงรัตนโกสินทร์
ประเทศอื่นที่ใกล้เคียงก็มีการเล่นตะกร้อ คนเล่นไม่จำกัดจำนวน
เล่นเป็นหมู่หรือเดี่ยวก็ได้ ตามลานที่กว้างพอสมควร
ตะกร้อที่ใช้เดิมใช่หวายถักเป็นลูกตะกร้อ ปัจจุบัน นิยมใช้ลูกตะกร้อพลาสติก
การเตะตะกร้อเป็นการเล่นที่ผู้เล่นได้ออก กำลังกายทุกสัดส่วน
ฝึกความว่องไว ความสังเกต มีไหวพริบ ทำให้มีบุคลิกภาพดี มีความสง่างาม
และการเล่นตะกร้อนับได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ของไทยอย่างหนึ่ง
ในการค้นคว้าหาหลักฐานเกี่ยวกับแหล่ง
กำเนิดการกีฬาตะกร้อในอดีตนั้น
ยังไม่สามารถหาข้อสรุปได้อย่างชัดเจนว่ากีฬาตะกร้อนั้นกำเนิดจากที่ใด
จากการสันนิษฐานคงจะได้หลายเหตุผลดังนี้
ประเทศพม่า เมื่อประมาณ พ.ศ. 2310 พม่ามาตั้งค่ายอยู่ที่โพธิ์สามต้น ก็เลยเล่นกีฬาตะกร้อกัน ซึ่งทางพม่าเรียกว่า “ชิงลง”
ทางมาเลเซียก็ประกาศว่า ตะกร้อเป็นกีฬาของประเทศมาลายูเดิมเรียกว่า ซีปักรากา (Sepak Raga) คำว่า Raga หมายถึง ตะกร้า
ทางฟิลิปปินส์ ก็นิยมเล่นกันมานานแล้วแต่เรียกว่า Sipak
ทางประเทศจีนก็มีกีฬาที่คล้าย
กีฬาตะกร้อแต่เป็นการเตะตะกร้อชนิดที่เป็นลูกหนังปักขนไก่
ซึ่งจะศึกษาจากภาพเขียนและพงศาวดารจีน
ชาวจีนกวางตุ้งที่เดินทางไปตั้งรกรากในอเมริกาได้นำการเล่นตะกร้อขนไก่นี้ไป
เผยแพร่ แต่เรียกว่าเตกโก (Tek K’au) ซึ่งหมายถึงการเตะลูกขนไก่
ประเทศเกาหลี ก็มีลักษณะคล้ายกับของจีน แต่ลักษณะของลูกตะกร้อแตกต่างไป คือใช้ดินเหนียวห่อด้วยผ้าสำลีเอาหางไก่ฟ้าปัก
ประกาศไทยก็นิยมเล่นกีฬาตะกร้อมายาวนาน
และประยุกต์จนเข้ากับประเพณีของชนชาติไทยอย่างกลมกลืนและสวยงามทั้งด้าน
ทักษะและความคิด
ประวัติกีฬาตะกร้อในประเทศไทย
ในสมัยโบราณนั้นประเทศไทยเรามีกฎหมายและวิธีการลงโทษผู้กระทำความผิด
โดยการนำเอานักโทษใส่ลงไปในสิ่งกลมๆที่สานด้วยหวายให้ช้างเตะ
แต่สิ่งที่ช่วยสนับสนุนประวัติของตะกร้อได้ดี คือ
ในพระราชนิพนธ์เรื่องอิเหนาของรัชกาลที่ 2
ในเรื่องมีบางตอนที่กล่าวถึงการเล่นตะกร้อ
และที่ระเบียงพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ซึ่งเขียนเรื่องรามเกียรติ์
ก็มีภาพการเล่นตะกร้อแสดงไว้ให้อนุชนรุ่นหลังได้รับรู้
โดยภูมิศาสตร์ของไทยเองก็ส่งเสริมสนับสนุนให้เราได้ทราบประวัติของตะกร้อ
คือประเทศของเราอุดมไปด้วยไม้ไผ่
หวายคนไทยนิยมนำเอาหวายมาสานเป็นสิ่งของเครื่องใช้
รวมถึงการละเล่นพื้นบ้านด้วย
อีกทั้งประเภทของกีฬาตะกร้อในประเทศไทยก็มีหลายประเภท เช่น ตะกร้อวง
ตะกร้อลอดห่วง ตะกร้อชิงธงและการแสดงตะกร้อพลิกแพลงต่างๆ
ซึ่งการเล่นตะกร้อของประเทศอื่นๆนั้นมีการเล่นไม่หลายแบบหลายวิธีเช่นของไทย
เรา
การเล่นตะกร้อมีวิวัฒนาการอย่างต่อเนื่องมาตามลำดับทั้งด้านรูปแบบและวัตถุ
ดิบในการทำจากสมัยแรกเป็นผ้า , หนังสัตว์ , หวาย , จนถึงประเภทสังเคราะห์ (
พลาสติก )
ความหมาย คำว่าตะกร้อ ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถาน พ . ศ . 2525 ได้ให้คำจำกัดความเอาไว้ว่า ” ลูกกลมสานด้วยหวายเป็นตา สำหรับเตะ “
- See more at:
http://www.parwat.com/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B5%E0%B8%AC%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%95%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%AD.html#sthash.fBRk2fyH.dpufื